นครหินเปตรา หรืออีกชื่อ นครศิลาสีกุหลาบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลกกับความงามของนครหินทรายเเละในตอนกลางคืนเมื่อนักท่องเที่ยวต่างจุดเทียนเเสงของเทียนจะกระทบกับหินทรายจนมีสีดังสีกุหลาบให้ความรู้สึกลึกลับไปอีกเเบบนึง
ที่นี่เคยได้รับผลกระทบจากเเผ่นดินไหวจนทำให้ตัวเมืองบางส่วนได้รับความเสียหาย เเต่ความลึกลับหน้าหลงไหลนั้นก็ไม่ได้เสื่อมคลายลงเลย เเละสำหรับนักท่องเทียวจะมาที่เปตราจะมีบริการด้านพาหนะค่อยอำนวยความสะดวกอยู่หลายชนิดเช่น ม้า ลา อูฐ ในการมาเที่ยวชมที่เมืองเปตราเเห่งนี้
นครหินเปตราได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกของโลกในปี ค.ศ. 1985 ตั่งอยู่ในหุบเขา วาดี มูซา ที่อยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลอัคบา ในประเทศจอร์เเดน
นครหินเปตราถูกสร้างขึ้นจากชาว บานาเทียน (Nabataeans)
นช่วงศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล ซึ่งเป็นชนเผ่เร่ร่อนเเถบทะเลทรายอาหรับ ชาวบานาเทียน
สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัยจากการสกัดหน้าผาที่เป็นหินทราย
ชาวบานาเทียนประกอบอาชีพเลี้ยงเเกะเป็นหลักเเละในภายหลังได้เปลี่ยนมาทำอาชีพค้าขายเเละรับจ้างรักษาความปลอดภัยให้กับกองคาราวานต่าง
ในอดีตนครหินเปตรา เป็นเหมือนจุดศูนย์รวมการค้าต่างๆ
เพราะที่ตั้งของเปตราอยู่ในเเถบดินเเดนที่เเห้งเเล้งเเต่กลับมีเเหล่งน้ำจืดเสำคัญจนได้ชื่อว่าเป็น วาดี มูซา หรือ หุบเขาโมเสส เเละตั้งอยู่ ในเส้นทางการค้าสำคัญที่สุดของโลกในขณะนั้น 2 สาย ได้แก่เส้นทางสายสายตะวันออก – สายตะวันตก ไปจนถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสายสายเหนือ – ใต้ ที่เชื่อมทะเลแดงกับ กรุงดามัสกัส เเละซีเรีย
จึงทำให้เหล่าพ่อค้าเเละนักเดินทาง ต้องมาเเวะพักเพื่อเติมสเบียงที่นี่อย่าไม่มีทางเลือก
จนใครต่างกล่าวว่า เมื่เปตราเป็นจุดศูนย์สินค้าต่างจากทั่วทุกสราทิศ เเละเป็นตลาดซื้อขายสินค้าสำคัญที่สุดของโลกตะวันออกเเละรุ่งเรื่องที่สุดในสมัยนั้น ต่อมา นครหินเปตราได้ถูกทิ้งร่างมาเป็นเวลานานถึง700ปี
จนมีนักสำหรวจชาวสวิตเซอร์เเลนบังเอิญผ่านมาพบเข้ากับนครหินเเห่งนี้ในช่วงปี ค.ศ 1812 ต่อมาที่นี้ได้กลายเป็นเเหล่งศึกษาหาความรู้ของนักโบราณคดี เเละเป็นเเหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญเเละมีชื่อเสียงเเห่งนึงของโลกเลยทีเดียว
ได้รับการสนับสนุนโดย holiday palace